เรือนสรไน แก้วเจียระไน ปี่ไฉนแห่งชวา การเข้ามาของอาณานิคมตะวันตก

ข่าวศิลปวัฒนธรรม , 23 พ.ค. 2565, 01:58

เรือนสรไน แก้วเจียระไน ปี่ไฉนแห่งชวา การเข้ามาของอาณานิคมตะวันตก

           คํากล่าวที่ว่า "กาแล-เชียงใหม่ สรไน-ลําพูน" ยังคงค้างคาใจผู้ฟัง ว่าเป็นความ จริง-เท็จ หรือมีที่มาที่ไปอย่างไร บทความนี้ในฉบับก่อนดิฉันได้อธิบายไปแล้วว่า “กาแล” มิใช่อัตลักษณ์ของเชียงใหม่เพียงเมืองเดียว หากได้พบกระจายทั่วล้านนา เช่นเดียวกับ “เรือนสรไน” (อ่าน สะระไน) ก็หาใช่มีเฉพาะในเมืองลําพูนเท่านั้นไม่ เพียงแต่ว่าอาจพบมากเป็นพิเศษในเมืองลําพูนหลายร้อยหลัง จนทําให้มีผู้กล่าว ว่าเรือนสรไนเป็นอัตลักษณ์เฉพาะของชาวยองลําพูน แต่ในความเป็นจริง มีการพบอย่างกว้างขวางทั่วประเทศไทยทุกภาค เพียงแต่ว่าในจังหวัดลําพูนยังคงมีให้เห็นเป็นกลุ่มเป็นก้อนหลายแหล่งมากกว่าจังหวัดอื่น

            ที่มาของคําว่า “สรไน” นั้นยังไม่มีผู้สรุปความหมายไว้แน่ชัดว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร มีแต่ข้อสันนิษฐานที่เกิดการสืบค้นจากชื่อของคําว่า “สรไน” เอง ที่ผู้รู้หลายฝ่ายได้เสนอความเห็นไว้สองแนวทาง ดังนี้ 

            นัยแรก ดังที่อาจารย์บุญมี ไชยยันต์ สถาปนิกล้านนาเสนอไว้ว่า น่าจะมาจากคําว่า “เจียระไน” อันหมายถึงการเจียรเพชรพลอยให้เกิดมุมเกิดเหลี่ยมตามที่ต้องการ ด้วยเหตุผลสองประการ ประการแรก รูปทรงของเสาสรไนนั้นมีการเจียรไม้เหลี่ยมมุมคล้าย การเจียระไนเพชรพลอย ประการที่สอง พบว่าคนเฒ่าคนแก่หลายท่านในลําพูนยังคงเรียก ขานเรือนสรไนนี้ว่า “เฮือนจะระไน” อยู่ ซึ่งคําว่า “จะระไน” นั้นฟังดูคล้ายและอาจมีรากมาจากคําว่า “เจียระไน” ตามข้อเสนอของอาจารย์บุญมี ซึ่งเป็นความเห็นที่น่ารับฟังและมีความเป็นไปได้สูงเช่นกัน

            ในขณะเดียวกัน ยังมีความเห็นอีกนัยหนึ่งจากปราชญ์ล้านนาหลายๆ ท่าน อาทิ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร.มณี พยอมยงค์ และ ศ.ดร.อุดม รุ่งเรืองศรี อธิบายว่า “สรไน” มีที่มาจากคําว่า “สุระหนี่” ในภาษาชวา หมายถึงเครื่องดนตรีประเภทปี่สรไนหรือปี่ไฉน อันเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมืองโบราณของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แพร่หลายมาช้านาน ซึ่งภาษามอญโบราณเรียกแผลงจาก “สุระหนี่” มาเป็น “สรไน” (บ้างเขียนว่า สะละไน หรือจะระไน) ส่วนภาษาขอมและไทยภาคกลางได้เรียกว่า “ปี่ไฉน”

            ดิฉันได้สืบค้นหาคํา “สรไน” ว่ามีการใช้ในแดนดินล้านนาตั้งแต่เมื่อไหร่ พบว่าปรากฏหลักฐานเก่าสุดด้านลายลักษณ์ในศิลาจารึกอักษรไทล้านนา (อักษรสุโขทัย) ที่วัดพระยืน ต.เวียงยอง อ.เมืองลําพูน จารึกเมื่อปี พ.ศ. 1912 มีข้อความเกี่ยวเนื่องกับตอนที่พระญากือนาได้เตรียมการต้อนรับขบวนเสด็จของพระมหาสุมนเถระจากสุโขทัยสู่เมืองลําพูนด้วยการประโคมเครื่องดนตรีนานาชนิด ว่า 

          “ท่านพญาธรรมิกราชบริพารด้วยฝูงราชโยธามหาชนพลลูกเจ้าลูกขุนมนตรีทั้งหลาย ย้ายกันให้ถือกระทงข้าวตอกดอกไม้ ไต้เทียน ตีพาทย์ดังพิณ ฆ้อง กลอง ปี่สรไน พิสเนญชัย ทะ-เทียด กาหล แตรสังข์มาน กังสะดานมะระทงดงเดือด เสียงเลิศเสียงก้อง อีกทั้งคนร้องโห่อื้อดาสะท้านทั่วทั้งนครหริภุญไชย”

            จากศิลาจารึกนี้สะท้อนว่าอย่างน้อยที่สุดชาวลําพูนเมื่อยุค 650 ปีก่อนรู้จักกับคําว่า “สรไน” นี้แล้วเป็นอย่างดี

            นอกจากนี้แล้วยังมีองค์ประกอบสถาปัตยกรรมอีกประเภทหนึ่งมีชื่อว่า “ปล้อง ไฉน” ใช้ตกแต่งยอดสถูปเจดีย์เหนือองค์บัลลังก์และก้านฉัตรขึ้นไป ทําเป็นรูปวงแหวนซ้อนกันเป็นปล้องๆ หลายชั้น โดยมากจํานวน 32 ปล้อง ก่อนจะถึงยอดปลีน้ำค้างปิดท้ายด้วยเม็ดกลม การที่องค์ประกอบสถาปัตยกรรมส่วนนี้มีชื่อว่า “ปล้องไฉน” เป็นการเน้นย้ำให้เห็นรากของชื่อมาจากคําว่า “ปี่ไฉน” อย่างชัดเจน 

            อาจเป็นไปได้ว่า ช่างพื้นบ้านชาวล้านนาได้นําคําว่าปี่ “สรไน” อันเป็นความหมายเดียวกันกับคําว่าปล้อง “ไฉน” ไปใช้เรียกองค์ประกอบสถาปัตยกรรมในส่วนของ “ปั้นลม” (ป้านลม) หรือ “ช่อฟ้า” ด้วยรูปทรงของ “ปี่สรไน” หรือปี่ไฉนนั้นเป็นแท่งยาว ทรงสูงสง่า ตั้งอยู่ตอนบนสุดของอาคารเช่นเดียวกับปล้องไฉนที่ตั้งอยู่บนสุดของเจดีย์ ปั้นลมดังกล่าวมีความสูงราว 2-3 ฟุต ใกล้เคียงกับความยาวของปี่ไฉน ทั้งยังเป็นรูปแท่งไม้กลมกลึงฉลุลายคล้ายเสาสูง ส่วนปลายยอดจําหลักเป็นเม็ดน้ำค้างคล้ายปากปี่ 

            อย่างไรก็ตาม ไม่ว่า “สรไน” จะมีที่มาของชื่อจาก “เจียระไน” หรือ “ปี่ไฉน” ก็สุดแท้แต่ ในที่สุดชาวล้านนาโดยเฉพาะชาวยองในลําพูนได้นํามาใช้เป็นชื่อเรียกบ้านเรือนที่มีการประดับบริเวณยอดแหลมที่ปลายหน้าจั่วหลังคาบ้านในช่วงยุคมณฑลเทศาภิบาลว่า “เรือนสรไน”อย่างแพร่หลาย 

            มีข้อสังเกตว่า ปั้นลมรูป “สรไน” นี้มิได้มีใช้เพียงแค่บ้านพื้นถิ่นในภาคเหนือแห่งเดียวเท่านั้น หากยังปรากฏอยู่ทั่วไปในวัฒนธรรมอุษาคเนย์ ไม่ต่างไปจาก “กาแล” โดยเฉพาะที่อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และที่ภาคใต้แถบชายแดนที่ประชากรนับถือศาสนาอิสลาม โดยชาวมุสลิมกลุ่มนี้มิได้เรียกปั้นลมที่มีแท่งเสาประดับตอนกลางว่า “สรไน” เหมือนดั่งชาวล้านนา หากเรียกว่า “เรือนจั่วมนิลา” หรือเรียกในภาษามลายูว่า “บลานอ” 

            อันคําว่า “มนิลา” นี้เป็นชื่อเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งตกเป็นเมืองขึ้นของราชอาณาจักรสเปนมาตั้งแต่เมื่อ 260 ปีที่ผ่านมาก่อนจะตกเป็นอาณานิคมของสหรัฐอเมริกาเมื่อ 130 ปีที่แล้ว ประเทศสเปนได้นําลักษณะ “หน้าจั่ว” ที่เป็นเสาแท่งตรง มีเม็ดกลึงบนยอดมาสถาปนาในดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แทนที่เรือนประดับด้วยหน้าจั่วที่ใช้ไม้กากบาทไขว้สองอันแบบเขาควาย หรือภาษาตากาล็อกพื้นถิ่น เรียกว่า “คาราบาว” จากนั้นลักษณะของแท่งหน้าจั่วตรงสูงนี้ได้แพร่กระจายไปในประเทศอาณานิคมอื่นๆ ในกลุ่มมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ทําให้ประเทศเหล่านั้น เรียกเรือนที่มีหน้าจั่วแท่งเสาติดสองด้านว่า “เรือนมนิลา” หรือ “จั่วมนิลา” เหตุเพราะเรียกตามแหล่งกําเนิดในประเทศฟิลิปปินส์

            โดยปกติแล้วคําว่า “เรือนมนิลา” ในความเข้าใจของคนไทยนั้น มิได้ระบุเจาะจงว่า ต้องหมายถึงบ้านที่มีหลังคาประดับด้วย “สรไน” หรือแท่งเสากลึงตรงปั้นลมเท่านั้น หากยังหมายถึงบ้านที่สร้างหลังคาเป็นทรงหน้าจั่วแบบเปิด 2 ด้าน คือเปิดเฉพาะด้านหน้าและด้านหลัง ต่างจากบ้านที่สร้างด้วยหลังคาคลุมปิดหมดทั้งสี่ด้าน หรือที่คนไทยเรียกว่า “เรือนปั้นหยา”
            เป็นที่ทราบกันดีว่าประเทศในแถบอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และตอนใต้ของประเทศไทยนั้น ประชากรเกินกว่า 90 % เป็นชาวมุสลิม จึงเรียกเรือนมนิลาที่มี “สรไน” ดังกล่าวด้วยภาษาชวา-มลายูที่พวกตนถนัดว่า “บลานอ” หมายถึงการทําจั่วยอดแหลมสูงประดับที่ปั้นลมและมุมหลังคา ส่วนการทําหลังคาตัดแบบเรือนปั้นหยาโดยไม่มีจั่วยอดแหลมประดับตามมุมนั้น ภาษามลายูเรียกว่า “แมและ” 

            อนึ่ง การประดับเสาแท่งสูงที่ปั้นลมบนหน้าจั่วหลังคาของทางภาคอีสานและเรือนพื้นถิ่นในประเทศลาวที่ได้รับอิทธิพลจากอาณานิคมฝรั่งเศสก็พบจํานวนไม่น้อยเช่นเดียวกัน ชาวอีสานไม่มีชื่อเรียกเฉพาะของเรือนที่ประดับหน้าจั่วดังกล่าว เรียกโดยรวมว่า จั่วเฉยๆ และการประดับตกแต่งแท่งเสาให้มีความงามนั้นก็ไม่มีลวดลายอะไรมากนัก เป็นเพียงแท่งไม้กลึงธรรมดา

            กล่าวโดยสรุปก็คือทางภาคใต้ซึ่งอยู่ใกล้กับประเทศแถบชวามลายู เจ้าของภาษาคําว่า “ปี่สรไน” นั้น กลับไม่มีการเรียกบ้านลักษณะเดียวกันนี้ว่า “เรือนสรไน” แบบทางภาคเหนือแต่อย่างใด ชวนให้น่าขบคิดอยู่ไม่น้อยว่าเพราะเหตุไรชาวล้านนาจึงนําคําว่า “สรไน” หรือ “ปี่ไฉน” มาใช้เรียกว่า “เรือนสรไน” อยู่ภาคเดียว 

            สิ่งที่พิเศษของเรือนมนิลาหรือจั่วบลานอทางภาคใต้ และเรือนสรไนบางแห่งในภาคเหนือ คือแท่งสรไนมักมีการตกแต่งปีกด้านข้างทั้งสองด้วยลวดลายพรรณพฤกษา หรือลายกนกคล้ายปีกนกทรงสามเหลี่ยมอย่างสวยงามเพื่อแสดงถึงฐานะของคหบดี อันลวดลายที่ตกแต่งฉลุฉลักอย่างวิจิตรนี้ นักวิชาการด้านสถาปัตยกรรมเรียกว่า ลวดลายแบบ “ขนมปังขิง” หรือ Ginger-bread อันมีรากเหง้ามาจากชาวตะวันตก 

            บ้านโบราณของชาวลื้อ ชาวขึน ชาวยองในอดีตราว 100-150 ปีที่ผ่านมา แถวเมืองเชียงรุ่ง เชียงตุง ฯลฯ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตพม่าตอนบน จีนตอนใต้ หรือในลาวแถบตะวันตกเฉียงเหนือ ต่างก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของชาวตะวันตกทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส ชาวตะวันตกรู้จักการใช้ปั้นลมแท่งเสาสูงปลายแหลมมาประดับหน้าจั่วเป็นอย่างดีมาก่อนแล้วในยุโรป ชาวอังกฤษเรียกบ้านไม้ประดับหน้าจั่วเหล่านั้นว่า “กระท่อมไม้ซุง” แปลตรงตัวว่า English Cottage บ้านลักษณะเช่นนี้ชาวอังกฤษถือว่าใช้ปลูกสร้างตามชนบทป่าเขาไม่นิยมนํามาสร้างในตัวเมืองหลวง กระท่อมไม้ซุงมีการตกแต่งลวดลายหน้าจั่วด้วยไม้แกะสลักอย่างงดงาม อันเป็นวัฒนธรรมที่พ้องจองกันในหลายๆ ประเทศบนเทือกเขาแอลป์ รวมทั้งประเทศฝรั่งเศส ชาวยุโรปที่นอกเหนือไปจากชาวอังกฤษไม่นิยมเรียก English Cottage แต่เรียกว่า Chalet Suisse (ชาเลต์สวิส) แทนเนื่องจากเชื่อว่าเป็นวัฒนธรรมที่มีต้นกําเนิดมาจากหุบเขาสูงในประเทศสวิตเซอร์แลนด์

            เมื่อชาวตะวันตกได้พม่า ลาว จีนตอนใต้ อินเดีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย มาเป็นอาณานิคม จึงได้ทำ “แท่งเสายาว” ตรงหน้าจั่วมาสถาปนาในดินแดนอุษาคเนย์ทั้งหมดแทนที่วัฒนธรรมดั้งเดิมที่เคยตกแต่งด้วย “กาแล” ของหลายๆ ประเทศ โดยเสาจั่วเหล่านี้ มีทั้งแบบปี่สรไน และมีทั้งแบบตกแต่งปีกด้วยลายขนมปังขิง

            จั่วสรไนแต่งปีกด้วยขนมปังขิงนี้ ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มประเทศที่นับถือศาสนาอิสลาม เหตุเพราะศาสนาอิสลามไม่นิยมทํารูปเคารพบุคคล แต่ให้ความสําคัญกับลวดลายแบบกึ่งนามธรรมประเภทลายพรรณพฤกษาและลายเรขาคณิตมากกว่า

            แว่นแคว้นในล้านนาแม้มิได้เป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ-ฝรั่งเศสโดยตรง แต่เมื่อมีการอพยพประชากรไปมาหาสู่กันกับพี่น้องในเขตสิบสองปันนา ล้านช้าง รัฐฉานในพม่า อย่างต่อเนื่องในช่วง 100-150 ปีที่ผ่านมา ย่อมทําให้บ้านเรือนในล้านนาเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของหลังคาตามไปด้วย

            มีข้อน่าสังเกตว่าลักษณะการแบ่งพื้นที่ใช้สอยหรือการดํารงวิถีชีวิตโดยรวมของผู้อาศัยภายในเรือนสรไนนั้น ยังคงรักษารูปแบบดั้งเดิม ละม้ายคล้ายคลึงกับเรือนกาแลพื้นถิ่น กล่าวคือเรือนแบบสรไนยังคงมีฮ้านน้ำ (ที่วางหม้อน้ำดื่มหน้าบ้าน) ต๊อมน้ำ (ห้องน้ำ) หลองเข้า (ยุ้งข้าว) เสาแหล่งหมา (เสาผูกสุนัข) ขึ้นมาบนเรือนยังคงมีเติ๋น (ส่วนรับแขกที่ยกพื้นเล็กน้อย) ฮางริน (รางน้ำระหว่างชายหลังคา) การต่อเติมเรือนแฝด ครัวไฟ (ห้องครัว) เป็นต้น ดุจเดียวกับเรือนกาแลทุกประการ

            สิ่งที่แปรเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดจากเรือนกาแลมาสู่เรือนสรไน ก็คือในส่วนของหลังคา ซึ่งถือเป็นหน้าตาหรือจุดเด่นที่สุดของบ้าน หลังคาใช้โครงสร้างไม้แทนที่การมุงด้วยใบจากหรือใบตองตึงแบบเรือนกาแล เปลี่ยนวัสดุใหม่เป็นการมุงด้วยกระเบื้องว่าวรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน หรือกระเบื้องเกล็ดเต่า บางหลังใช้แป้นเกล็ดหรือแผ่นไม้ตัดเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า จากนั้นได้เพิ่มการประดับ “สรไน” นอกเหนือไปจากแค่จุดเดียวที่ปั้นลม ยังขยายไปสู่บริเวณมุมทั้งสองข้างของจั่วสามเหลี่ยมอีกด้วย

            ยุคที่มีการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินตั้งแต่ปี พ.ศ. 2427 เป็นต้นมา ช่วงนั้นล้านนาเปลี่ยนสถานะจากประเทศราชของสยามมาเป็นการปกครองในลักษณะมณฑลเทศาภิบาล ช่วงนี้สยาม (รัฐบาลกลาง) ได้ส่งข้าหลวงใหญ่มาประจําที่มณฑลพายัพเป็นจํานวนมาก ทั้งประจําอยู่ในใจกลางเมือง และถูกส่งไปรั้งตามแขวงต่างๆ ทําให้การสร้างบ้านเรือนแบบสรไนขยายตัวเพิ่มมากขึ้น ถือเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของความนิยมในการสร้าง “เรือนสรไน” ขึ้นแทนที่ “เรือนกาแล” ที่เคยมีมาก่อนในพื้นถิ่นล้านนา จึงอาจกล่าวได้ว่า เรือนสรไนคือเรือนที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในยุคที่ลําพูนปกครองแบบระบบมณฑลเทศาภิบาล

…..เรียบเรียงโดย….ดร.เพ็ญสุภา  สุขคตะ…..

 

 

9

ข่าวอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ปลายปีนี้พบงานแสดงรถยนต์ทั้งที่เซ็นทรัลเชียงใหม่เฟสและที่แอร์พอร์ต

งานแรก 18-24 พฤศจิกายน 2568 งานนี้จัดโดย MG ไทยแลนด์งาน MG City DRIVEมีรถยนต์ MG มาให้แฟนๆ ได้ทดลองขับครบทุกรุ่นใครอยากได้รุ่นไหนก็แจ้งทีมงานขอทดลองขับได้เลยงานนี้สำนักงานใหญ่มาเองเพื่อยอดขายให้ได้สูง...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 20 พ.ย. 2568, 19:05
  • |
  • 261

มิตซูแสงชัยจัดหนัก งาน Exclusive Test Drive "XForce Garden" มหาสุขฟาร์ม Mahasuk Farm

พิเศษเฉพาะงาน Exclusive Test Drive "XForce Garden"• จองในงานทุกรุ่น รับทันที กระเป๋า Gym bag ของแท้ จากแบรนด์ Mitsubishi• รับข้อเสนอพิเศษแคมเปญเดียวกับ Motor Expo 2025แล้วพบกันได้ที่งาน Exclusive Test...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 18 พ.ย. 2568, 19:36
  • |
  • 98

HyundHyundai Deal SEOUL Good with The all-new SANTA FE Hybrid ​ Motor Expo Campaign ที่สุด...

HyundHyundai Deal SEOUL Good with The all-new SANTA FE Hybrid ​Motor Expo Campaign ที่สุดแห่งดีล ฟีลเกาหลีOpen for More Utility อีกขั้นของความสะดวกสบายไปกับ The all-new SANTA FE Hybrid พร้อมที่วางขวดน...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 15 พ.ย. 2568, 12:16
  • |
  • 394

ส่งท้ายปี...ด้วยโปรแรงจัดหนัก‼️ กับโตโยต้าล้านนา ที่งาน 𝐌𝐎𝐓𝐎𝐑 𝐒𝐀𝐋𝐄 𝐎𝐅 𝐓𝐇𝐄 𝐘𝐄𝐀𝐑 โปรแรง ยิ่ง...

ส่งท้ายปี...ด้วยโปรแรงจัดหนัก‼️ กับโตโยต้าล้านนา ที่งาน𝐌𝐎𝐓𝐎𝐑 𝐒𝐀𝐋𝐄 𝐎𝐅 𝐓𝐇𝐄 𝐘𝐄𝐀𝐑 โปรแรง ยิ่งใหญ่! ส่งท้ายปี🚗🔥📅 วันที่ 31 ต.ค. - 9 พ.ย. 2568 📍 ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่🎉จองรถโตโยต้...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 31 ต.ค. 2568, 13:44
  • |
  • 392

ONIQ 5 รถไฟฟ้าพรีเมียม 100% จากฮุนได นำเข้าทั้งคันจากเกาหลี…พร้อมครบทุกความสมบูรณ์แบบ จบทุ...

 ONIQ 5 รถไฟฟ้าพรีเมียม 100% จากฮุนได นำเข้าทั้งคันจากเกาหลี…พร้อมครบทุกความสมบูรณ์แบบ จบทุกความต้องการในรถไฟฟ้าที่คุณมองหา ✨ พลังขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้า 217 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 26 ต.ค. 2568, 14:08
  • |
  • 1,173

มอบรถยนต์ Hyundai STARGAZER X6 สีทอง รถยนต์น่าใช้สำหรับครอบครัว

 เอชดีเจมอเตอร์ ฮุนไดเชียงใหม่ โดยที่ปรึกษาการขาย ร่วมแสดงความยินดีพร้อมส่งมอบรถใหม่  ให้กับคุณธัญชนน ยกตรี Hyundai STARGAZER X6 สีทอง                ...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 23 ต.ค. 2568, 14:15
  • |
  • 608
Sytiq Company

ออกแบบพัฒนาโปรแกรมและแอพลิเคชั่น

โดยบริษัทไซทิค ติดต่อ:0819507128

Sytiq Company

ออกแบบและติดตั้ง Home Automation

โดยบริษัทไซทิค ติดต่อ:0819507128