เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2566 ดร.เยิร์ก ซุช เลขาธิการรัฐสภาฮังการี เป็นประธานในพิธีเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ฮังการี ณ จังหวัดเชียงใหม่ ที่้โครงการเดอะพรอมิเน้นซ์พราวด์ ตำบลสันทรายน้อย อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ โดยได้รับเกียรติจากนายเอมิล บาโคช รองเลขาธิการรัฐสภาฮังการี ด้านเศรษฐกิจ, นายทิโบร์ บาลาน รองเลขาธิการรัฐสภาฮังการี ด้านกฎหมาย และนายชานโดร์ ชีโปช เอกอัครราชทูตฮังการีประจำประเทศไทย และนายวโรดม ปิฏกานนท์ กงสุลกิตติมศักดิ์ฮังการี ณ จังหวัดเชียงใหม่ ร่วมเป็นแขกกิตติมศักดิ์ในพิธีเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ฮังการี ณ จังหวัดเชียงใหม่ อย่างเป็นทางการ
นายวโรดม กล่าวว่า ประเทศไทยและฮังการีมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมาอย่างยาวนานกว่า 152 ปี เริ่มตั้งแต่การลงนามในหนังสือสัญญาไมตรี การค้า และการเดินเรือระหว่างราชอาณาจักรสยามกับจักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี ในปี พ.ศ. 2412 และโอกาสสำคัญครบรอบ 50 ปี ที่ไทยและฮังการีได้
สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ ตามที่รัฐบาลฮังการีได้เสนอขอเปิดสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ฮังการี ณ จังหวัดเชียงใหม่ และได้แต่งตั้งให้ นายวโรดม ปิฏกานนท์ ดำรงตำแหน่งกงสุลกิตติมศักดิ์ฮังการี ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2565 ที่ผ่านมา มีเขตครอบคลุม 9 จังหวัดภาคเหนือ ประกอบด้วย เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา แพร่ น่าน และอุตรดิตถ์ โดยได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่10 ให้รัฐบาลไทยอนุมัติการรับตำแหน่งในวันที่ 30 สิงหาคม 2565
โดยในปีนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญจะเป็นการฉลองโอกาสครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน ซึ่งไทยและฮังการีได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2516 โดยฮังการีจัดตั้งสถานเอกอัครราชทูตประจำประเทศไทย เมื่อปี 2521 มีเขตอาณาครอบคลุมสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และไทยจัดตั้งสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงบูดาเปสต์ เมื่อปี 2532
โดยความสัมพันธ์ดังกล่าวมีการขยายตัวผ่านความร่วมมือที่หลากหลาย อาทิ เศรษฐกิจ การลงทุน การศึกษา การท่องเที่ยว ในปัจจุบันทความสัมพันธ์ระหว่างฮังการีและไทยมีพลวัตมาก ไทยเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจที่สำคัญสำหรับฮังการี และเป็นตลาดขนาดใหญ่ที่ผู้ประกอบการในฮังการีประสบความสำเร็จมาแล้วจนถึงปัจจุบัน ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร ด้านสิ่งแวดล้อมการจัดการน้ำและของเสีย นวัตกรรมและไอที เป็นหนึ่งในภาคส่วนที่มีศักยภาพมากที่สุดของความร่วมมือทางเศรษฐกิจของฮังการี-ไทย การค้าระหว่างประเทศของเรากำลังเฟื่องฟูมีแนวโน้มในเชิงบวกมาก
ในปี 2564 การค้าระหว่างไทยกับฮังการี มีมูลค่า 712.90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าที่ไทยส่งออกไปฮังการี เช่น รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ มูลค่า 504.84 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนสินค้าที่ไทยนำเข้าจากฮังการี เช่น เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน มูลค่า 208.06 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งไทยได้ดุลการค้าจากฮังการีรวม 296.78 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มีนักท่องเที่ยวฮังการีเดินทางมาประมาณไทยประมาณ 30,000 คนต่อปี โดยเฉพาะในกลุ่มที่ท่องเที่ยวกับครอบครัว (Family Leisure Trip) กลุ่มแต่งงานใหม่ (Honeymooners) และกลุ่มผู้สูงอายุและมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในอนาคต
ดังนั้นการสร้างโอกาสและเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทาย ในปี 2566 โดยไทยกับฮังการีจะได้มีความร่วมมือที่สำคัญ ที่จะเอื้อต่อการพัฒนาภาคเหนือ ได้แก่1.ด้านเศรษฐกิจและการค้า ได้แก่ 1) การส่งเสริมการติดต่อระหว่างภาคเอกชนและการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าไทยในฮังการี 2) เสริมสร้างศักยภาพทางธุรกิจให้แก่บริษัทไทยและฮังการีในหลายสาขา 3) สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจสำหรับการลงทุนในเขต EEC โดยเฉพาะการลงทุนด้านสุขภาพ ดิจิทัล เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ และโลจิสติกส์ 4) ยกระดับวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมหรือ SMEs ในด้านต่างๆ อาทิ สินค้าอุปโภคบริโภค เช่น อาหารพร้อมทาน เครื่องแต่งกายและสิ่งทอราคาแพง สินค้าเกษตร เช่น ปุ๋ยออร์แกนิค สินค้าอุตสาหกรรม เช่น รถยนต์พลังงงานไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ ยางรถยนต์และยางพารา รวมถึงสินค้าด้านสาธารณสุข เช่น ยา เวชภัณฑ์ และสมุนไพร
2. ด้านการลงทุน ที่ทั้งสองประเทศมีที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์ ในการเป็นประตูสู่ตลาดขนาดใหญ่ทั้งสหภาพยุโรปและอาเซียน ซึ่งสร้างโอกาสที่ดี
ในการลงทุนและการจัดตั้งธุรกิจร่วมลงทุน การสร้างสภาวะแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการประกอบธุรกิจในไทย รวมถึง รัฐบาลฮังการีจัดตั้งหน่วยงานส่งเสริมด้านการลงทุนฮังการี (Hungarian Investment Promotion Agency: HIPA) เพื่อสนับสนุนการตั้งกิจการของเอกชนไทยในฮังการีและเอื้อให้นักลงทุนทั้งสองประเทศด้วย
ประการสำคัญ ยังมีความร่วมมือที่จะริเริ่มบันทึกความเข้าใจฉบับแรกด้านวัฒนธรรม ระหว่างกระทรวงวัฒนธรรมและนวัตกรรมของฮังการีและกระทรวงวัฒนธรรมของไทย ปี 2566-2567 ซึ่งสนับสนุนความร่วมมือด้าน Soft Power 5 ด้าน ได้แก่ อาหาร (Food) ภาพยนตร์ (Film) เสื้อผ้า (Fashion) ศิลปะการต่อสู้ (Fighting) และเทศกาล (Festival) การศึกษา รวมถึงเสริมสร้างความร่วมมือในระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา โดยเฉพาะในสาขาการเกษตรและเทคโนโลยี การท่องเที่ยว การผลิต การขนส่ง สังคมศาสตร์ พลศึกษา และการจัดการน้ำ เป็นต้น
ในนามของกงสุลกิตติมศักดิ่ฮังการี ณ จังหวัดเชียงใหม่ ที่ได้ดูแลอยู่ 9 จังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง แม่ฮ่องสอน เชียงราย พะเยา แพร่ น่าน และอุตรดิตถ์ ได้เห็นโอกาสและความร่วมมือกังฮังการีในหลายด้านที่จะเชื่อมโยงสู่พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคเหนือ (NEC) ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่ ลำพูน และลำปาง เน้นการส่งเสริมการลงทุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ อุตสาหกรรมดิจิทัล อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism) และอุตสาหกรรมเกษตรและอาหาร นอกจากนั้นคือแนวทางความร่วมมือการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนที่จะนิยมใช้มากขึ้นในอนาคต