วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 คณะวิจิตรศิลป์ จัดการแถลงข่าวโครงการเทศกาลวิจิตรศิลป์ (FOFA CMU ART FESTIVAL) ห้องบรรยายชั้น 4 อาคารปฏิบัติการออกแบบ คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
รองศาสตราจารย์ ดร.สุกรี เกษรเกศรา คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า โครงการเทศกาลวิจิตรศิลป์ (FOFA CMU ART FESTIVAL) จัดขึ้นโดยคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่เพื่อนำเสนอผลงานการสร้างสรรค์ของนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายของหลักสูตรระดับปริญญาตรี และหลักสูตรระดับบัณฑิตศึกษาในลักษณะนิทรรศการกลุ่มและเดี่ยวร่วมกัน จากแต่เดิมที่แต่ละหลักสูตรจะแยกจัดนิทรรศการนำเสนอผลงานบนพื้นที่และช่วงเวลาแตกต่างกันไป ในปีนี้คณะวิจิตรศิลป์มีความตั้งใจที่จะนำผลงานการสร้างสรรค์ศิลปนิพนธ์ของนักศึกษาชั้นปีสุดท้ายที่ผ่านการศึกษาค้นคว้าและสร้างสรรค์ มานำเสนอในรูปแบบของเทศกาลศิลปะที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาเดียวกัน
คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มุ่งหวังว่าการจัดดำเนินการนิทรรศการนำเสนอผลงานศิลปนิพนธ์ในรูปแบบเทศกาลศิลปะในครั้งนี้จะได้รับผลตอบรับที่ดีและมีความเป็นไปได้ที่จะพัฒนาโครงการไปสู่เทศกาลศิลปะระดับนานาชาติเต็มรูปแบบที่ประกอบด้วยกิจกรรมที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้นในปีต่อไป
ในการแถลงข่าวครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อให้สาธารณะชนรับรู้ถึงกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษา รวมถึงแผนการดำเนินงานและภารกิจของคณะวิจิตรศิลป์ที่มีหน้าที่ผลักดันและขับเคลื่อนสังคมด้วยความคิดสร้างสรรค์และผลงานศิลปะ ในการนี้คณะวิจิตรศิลป์หวังเป็นอย่างยิ่งที่จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มผู้รักศิลปะรวมไปถึงนักเรียนนักศึกษาที่กำลังวางแผนหรือมีความสนใจศึกษาต่อทางด้านศิลปกรรมศาสตร์ ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในตัวผลงานที่เป็นภาพสะท้อนผลลัพธ์การเรียนการสอนทางด้านศิลปะของคณะวิจิตรศิลป์
ผู้สนใจสามารถเข้าชมผลงานในนิทรรศการจากหลักสูตรต่าง ๆ ตลอดระยะเวลากว่า 90 วันที่จัดขึ้นในระหว่างวันที่ 27 กุมภาพันธ์ – 1 พฤษภาคม 2566 โดยกำหนดการและรายละเอียดนิทรรศการศิลปนิพนธ์ของนักศึกษาทั้ง 9 หลักสูตรสามารถติดตามได้ผ่านช่องทางออนไลน์ของคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
งานแถลงข่าวโครงการเทศกาลวิจิตรศิลป์ (FOFA CMU ART FESTIVAL 2023) ยังเป็นเวทีแนะนำกลุ่มผู้บริหารชุดใหม่ของคณะวิจิตรศิลป์ที่เข้ามาสานต่อพันธกิจและยุทธศาสตร์ของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ซึ่งปัจจุบัน “ศาสตร์” และ “ศิลป์” ได้ผนวกรวมเป็นเนื้อเดียวกัน เพื่อต่อยอดเอกลักษณ์ท้องถิ่นของล้านนามาใช้เป็นต้นทุนสำคัญเพื่อเพิ่มคุณค่าและมูลค่า ตอบสนองความต้องการของตลาดเศรษฐกิจเชิงวัฒนธรรม
คณะผู้บริหารคณะวิจิตรศิลป์ นำทีมโดยคณบดีคณะวิจิตรศิลป์อันได้แก่รองศาสตราจารย์ ดร.สุกรี เกษรเกศรา และรองคณบดีอีก 4 ท่าน ประกอบด้วย รองศาสตราจารย์ ดร.สืบศักดิ์ แสนยาเกียรติคุณ รองคณบดีฝ่ายบริหาร ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วีระพันธ์ จันทร์หอม รองคณบดีฝ่ายยุทธศาสตร์ นโยบายและแผน รองศาสตราจารย์ ดร.อัษฎา โปราณานนท์ รองคณบดีฝ่ายวิชาการ และรองศาสตราจารย์มาณพ มานะแซม รองคณบดีฝ่ายพัฒนาคุณภาพนักศึกษาและศิษย์เก่าสัมพันธ์ ได้ร่วมแถลงข่าวกิจกรรมและสื่อสารกับสื่อมวลชนเกี่ยวกับทิศทางของคณะวิจิตรศิลป์ โดยมุ่งส่งเสริมคุณภาพทางวิชาการ ตอบสนองโจทย์ความต้องการของสังคมและชุมชน รวมถึงการส่งเสริมความร่วมมือระดับชาติและนานาชาติตามแผนและนโยบายสำคัญของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ที่จะสนับสนุนและส่งเสริมสังคมและชุมชนให้พัฒนาอย่างยั่งยืน
ในช่วงท้ายของงานแถลงข่าวยังมีเวทีเสวนาโดยกลุ่มนักศึกษาทั้ง 9 หลักสูตรรวมถึงตัวแทนนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษามาร่วมนำเสนอรายละเอียดปลีกย่อยของแต่ละนิทรรศการ
กิจกรรมการแถลงข่าวในครั้งนี้จบลงด้วยการสื่อสารแผนและนโยบายของทางคณะวิจิตรศิลป์ รวมถึงชุดกิจกรรมต่าง ๆ ตลอด 90 วันของเทศกาล และยิ่งไปกว่านั้น การแถลงข่าวในครั้งนี้ยังเป็นการเปิดตัวโครงการที่มีชื่อเสียงของคณะวิจิตรศิลป์อย่าง “ลูกทุ่งวิจิตรฯ” ที่ห่างหายไปนานเนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ปีนี้จึงเป็นปีที่น่ายินดีที่คอนเสิร์ตในตำนานนี้จะกลับมามีชีวิตและสร้างความเพลิดเพลินให้กับชาวเชียงใหม่อีกครั้ง
"โครงการเทศกาลวิจิตรศิลป์ คือเทศกาลที่นำเสนอชุดของนิทรรศการศิลปนิพนธ์ที่จัดแสดงงานศิลปะของ 9 หลักสูตรระดับปริญญาตรีของคณะวิจิตรศิลป์ นิทรรศการแต่ละงานจะถูกจัดแสดงทั้งในหอศิลปวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และบนพื้นที่สาธารณะในจังหวัดเชียงใหม่หลายแห่ง โดยในแต่ละนิทรรศการประกอบด้วยกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ที่ออกแบบมาให้มีความหลากหลาย ตอบสนองกลุ่มผู้สนใจที่แตกต่างกัน เป้าหมายของการรวมนิทรรศการทั้งหมดเข้ามาไว้ในรูปแบบเทศกาลศิลปะก็เพื่อสร้างให้เกิดการรับรู้ในวงกว้าง เพื่อขยายขอบเขตของกิจกรรม รวมไปถึงการพัฒนาโครงการเทศกาลเพื่อสร้างความร่วมมือกับนักเรียน นักศึกษา ประชาชน รวมถึงสถาบันหรือองค์กรทั้งในและต่างประเทศที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในอนาคต"คณบดีคณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าว.