พระสิกขี : กินรีหรือพระพิมพ์?

ข่าวศิลปวัฒนธรรม , 1 ต.ค. 2566, 16:12

พระสิกขี : กินรีหรือพระพิมพ์?

 เมื่อวันที่ 27 สิงหาคมที่ผ่านมา ดิฉันได้จัดโครงการอบรมประวัติศาสตร์ล้านนาเพื่อการท่องเที่ยวให้กับสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือจังหวัดลำพูน (สสทน.ลำพูน) ในหัวข้อ “ทิศตะวันตกแห่งนครหริภุญไชย” หรือ “ปัจจิมทิศนครลำพูน” ด้วยการบรรยายทฤษฎีภาคเช้าในห้องประชุมวัดมหาวัน แล้วพาผู้เข้าอบรมลงพื้นที่ทัศนศึกษาโบราณสถานสำคัญทั้ง The Must & Unseen ที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์หริภุญไชย ที่ตั้งอยู่โซนทิศตะวันตกทั้งหมด ประกอบด้วย ตัววัดมหาวันเอง กู่พระรบ หนองสะเหน้า หนองน้ำจามเทวี ศาลพระแม่นั่งเมือง กู่พระญาทิพย์ และวัดจามเทวี

          จุดเด่นอันหนึ่งของการบรรยายเรื่องศิลปวัตถุที่พบในโซนทิศตะวันตกของนครลำพูนนั้น คือการพบสิ่งที่เรียกกันว่า “พระสิกขี” มีทั้งที่วัดมหาวัน และวัดจามเทวี 

“พระสิกขี” คือใคร หรือคืออะไร?

          แน่นอนว่าเมื่ออ่านเผินๆ แล้วหลายท่านย่อมประหวัดนึดถึงนามของ "พระสิขีพุทธเจ้า" ในมัณฑกัป อดีตพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ในบรรดา 28 พระองค์ 

          แต่สิ่งที่กำลังจะนำเสนอนี้ ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับพระอดีตพุทธผู้มีนามเดียวกันนั้น แม้จะสะกดแตกต่างกันเล็กน้อย

          ทว่า ดิฉันกำลังกล่าวถึงโบราณวัตถุที่สร้างด้วยดินเผาหรือปูนปั้นประเภทหนึ่ง ซึ่งคนในวงการพระเครื่องเรียกกันว่า “พระสิกขีพิมพ์พระนางจามเทวี” ข้อสำคัญเราพบเฉพาะที่เมืองลำพูนเท่านั้น หรืออย่างมากก็พบในกลุ่มเมืองโบราณฟากตะวันตกของแม่น้ำปิงที่เป็นเมืองบริวารของหริภุญไชย เช่น เวียงมโน เวียงท่ากาน และเวียงเถาะ แค่ไม่กี่แห่ง

          ในขณะที่สายตาของนักสะสมมองพระสิกขีเป็นพระเครื่องประเภทหนึ่ง แต่ในทางประวัติศาสตร์ศิลปะแล้ว นักโบราณคดีตระหนักชัดว่า พระสิกขีนั้น แท้จริงคือชิ้นส่วนประติมากรรมรูปบุคคลที่ใช้ประดับสถูปที่ปลายกรอบซุ้มจระนำ ในทำนองเทวดา สัตว์หิมพานต์ หรือทวารบาลเฝ้าศาสนสถานมากกว่า

อะไรบ้างเล่าที่นับว่าเป็นพระสิกขี

          พระสิกขีมีหลายรูปแบบ โดยเฉลี่ยมีขนาดเล็ก สูงประมาณ 2 นิ้ว จนถึงใหญ่สุดประมาณ 10 กว่านิ้ว กำหนดอายุได้ราวพุทธศตวรรษที่ 16 – 17 คือไม่น่าจะเก่าไปถึงสมัยหริภุญไชยตอนต้น (พุทธศตวรรษที่ 13-14) เท่าที่พบสามารถแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ คือ

          1. พระสิกขีที่ได้รับการเพรียกขานว่า "พระนางจามเทวี" เนื่องจากทรงเทริด สวมกุณฑล  กรองศอ  ยกพระหัตถ์ขนาดใหญ่ขึ้นทั้งสองข้างระดับพระอุระ คล้ายท่าปางห้ามญาติ พระพักตร์สี่เหลี่ยม บางองค์หน้าคมชัด แต่ส่วนใหญ่ดูลบเลือน ลักษณะโดยรวมค่อนข้างตกแต่งลวดลายน้อย มีจุดเด่นที่การแสดงพระถันรูปวงโค้งเป็นสัญลักษณ์ของสตรี

          2. พระสิกขีหน้าครุฑ ลำตัวครุฑ จงอยปากแหลม อยู่ในท่าแอ่นอกยกมือสองข้างขึ้นมาระดับอกเช่นกัน

          3. พระสิกขีในท่าร่ายรำ ซ้ายขวาไม่สมดุล บอกได้ยากว่าเป็นเทพธิดาหรือเทพบุตรกันแน่ ยกมือขวาขึ้นระดับอก มือซ้ายถือดอกบัว บิดลำตัว นุ่งผ้าชักชายพกเป็นแผ่นโค้งขนาดใหญ่ 

          กล่าวโดยสรุปก็คือ คนกลุ่มหนึ่งเชื่อว่า รูปปั้นสิกขีคือตัวแทนของเจ้าแม่จามเทวี แห่งนครหริภุญไชยนั่นเอง แต่ทว่าบางกระแสกลับเชื่อว่าว่าเป็นเทวดาที่สร้างขึ้นเพื่อปกป้องรักษากรุเจดีย์แต่ละแห่ง

ทำไมจึงตั้งชื่อว่า “พระสิกขี” 

          เกี่ยวกับเรื่องชื่อนั้นสันนิษฐานเป็นสองกรณี

          1. อาจเนื่องจากยึดเอาตามชื่อของ "พระสิกขีพุทธปฏิมา" ซึ่งตำนานระบุว่าเป็นพระพุทธรูปที่สร้างในสมัยพระนางจามเทวี สันนิษฐานว่า “พระสิกขีลำพูน” ที่เราเห็นกันนั้น อาจเป็นประติมากรรมรูปเคารพที่เกี่ยวข้องหรือเป็นตัวแทนของพระนางจามเทวีโดยเชื่อมโยงกับชื่อของ “พระสิกขีพุทธปฏิมา” 

 ซึ่งเรื่องนี้ก็อาจเป็นไปได้เช่นกัน เพราะเจดีย์สุวรรณจังโกฏ วัดจามเทวี ในตำนานระบุว่าเป็นกู่บรรจุอัฐิของพระนางจามเทวี อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้คงต้องมีการศึกษาอย่างละเอียดต่อไป

          2. อีกกรณีหนึ่ง คำว่า “สิกขี” นั้น เปิดพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แปลตรงตัวว่าหมายถึง “นกยูง” คือ เหล่ากินรี หรือนางอัปสราฟ่ายฟ้อน ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับ เทพขันทกุมาร หรือ “ขัตตุคาม”(ต่อมานิยมเรียก “จตุคาม”) เทพเจ้าองค์หนึ่งของฮินดูในสายไศวนิกาย (เป็นโอรสของพระศิวะ) ที่มีพาหนะเป็นรูปไก่ขาวหรือนกยูง อันสัมพันธ์กับตำนานของนครหริภุญไชยที่กล่าวถึง “ไก่แก้ว- เมตกกุฏ” (คนแปลตำนานยุคก่อนใช้คำว่า “เปตกกุฏ” แปลว่า ไก่ที่ตายไปแล้วเป็นเปรต แต่อาจารย์เกริก อัครชิโนเรศ อ่านต้นฉบับใหม่ พบว่า ใช้ตัว “ม” ไม่ใช่ “ป” จึงแปลว่า เมตกกุฏ หมายถึงไก่ผู้มีเมตตา)

ไก่แก้วตัวนี้ ตำนานระบุว่าทำหน้าที่เสมือน “เสื้อเมือง” ที่คอยส่งเสียงหวานขันกังวานคอยปลุกชาวเมืองหริภุญไชยให้ตื่นตอนเช้าลุกขึ้นฟังธรรมด้วยจิตอันผ่องใส ต่อมาไก่ตัวนี้ได้ถูกชาวละโว้ฆ่าตายด้วยหมายจะให้เมืองลำพูนปราศจาก “เสื้อเมือง” ทุกวันนี้เรายังหา “เมตกกุฏนคร” ไม่พบทั้งในลำพูน ลำปาง (แต่อาจหมายถึงเมืองลอง ในแพร่) ซึ่งในลำปางและเมืองลองก็มีตำนานเรื่องไก่แก้วหรือไก่ขาวนี้เช่นเดียวกัน

อ.วิธูร บัวแดง นักคติชนวิทยาสันนิษฐานว่า คำว่า “กู่กุฏ” ที่เรานิยมเขียนเป็น “กู่กุด” นั้น อาจเป็นคำๆ เดียวกันกับ “กกุฏ” คือนครที่อุทิศให้เทพขันทกุมารผู้มีนกยูง (รวมถึงเหล่ากินนร กินรี) เป็นพาหนะก็เป็นได้

ดังนั้น การทำรูปกินนร กินรี หรือนกยูง ไก่ขาว ที่โดยภาพรวมหมายถึง “สิกขี” นำมาประดับตามศาสนสถานเช่นนี้ จึงเป็นสัญลักษณ์ของป่าหิมพานต์ ในสายที่มีจุดเริ่มต้นจากการนับถือลัทธิไศวนิกายมาก่อน

          กรรมวิธีการสร้างพระสิกขี มีทั้งดินเผาและปูนปั้น ประเภทดินเผาใช้ดินเหนียวที่กดพิมพ์จากแม่พิมพ์ เช่นเดียวกับพระพิมพ์ทั่วไปแล้วนำไปเผา หรือแบบปูนปั้นก็มี ขึ้นรูปด้วยมือทีละชิ้น เมื่อเทียบกับเศียรครุฑและชิ้นส่วนเทวดาที่จัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ หริภุญไชย พบว่าฝีมืองานช่างของพระสิกขีจะด้อยกว่าประติมากรรมขนาดใหญ่ เช่นพวกเศียรพระพุทธรูป อาจเป็นเพราะสิกขีมีหน้าที่แค่ใช้เป็นเครื่องประดับสถาปัตยกรรมของเจดีย์เท่านั้น ช่างจึงไม่ได้พิถีพิถันประจงปั้นอย่างวิจิตรเท่าใดนัก

ปัจจุบันเหลือตัวสิกขีแบบดั้งเดิมที่ยังคงทำหน้าที่ใน function เดิมอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น คือใช้ประดับบนฝักเพกา ปลายกรอบซุ้มจระนำที่ล้อมรอบองค์พระปฏิมาปูนปั้นยืนจำนวน 60 พระองค์ของเจดีย์สี่เหลี่ยม (กู่กุฏิ หรือสุวรรณจังโกฏ) วัดจามเทวี
          ซ้ำยังพบว่า สิกขีปูนปั้นในกรอบเพกาของสุวรรณจังโกฏนี้ แต่ละด้านยังมีความแตกต่างกันอีกด้วย ดังเช่น สิกขีด้านทิศตะวันออก เป็นประเภทที่สอง คือยกมือสองข้างแบบสมดุลในระดับอก หน้าตาไม่อ่อนหวานเหมือนสตรีเพศ ออกไปทางพวกครุฑ กินนรมากกว่า ในขณะที่ สิกขีฝั่งทิศตะวันตกกลับทำท่าร่ายรำ ยกมือเทินขึ้นบนหัว

          ส่วนที่มีการขุดพบสิกขีกระจายตามวัดต่างๆ เช่น วัดมหาวัน วัดประตูลี้ วัดกู่ละมัก ฯลฯ สะท้อนให้เห็นว่าครั้งหนึ่งวัดเหล่านี้เคยมีเจดีย์โบราณที่ตกแต่งกรอบซุ้มจระนำด้วยตัวสิกขีเช่นเดียวกับโมเดลของวัดจามเทวี เพียงแต่ว่าภายหลังได้หล่นร่วงลงมา ทั้งเจดีย์เก่าดั้งเดิมก็ได้พังทลายลงหมดแล้ว พลอยให้คนไปเข้าใจผิดคิดว่า สิกขีที่พบใต้ชั้นดินนั้น นาจะเป็นพระพิมพ์ประเภทหนึ่ง ในรูปแบบพระพิมพ์พระนางจามเทวี

          จากการศึกษา “สิกขี” ที่ประดับซุ้มจระนำวัดจามเทวี พบว่าลวดลายเหล่านี้แสดงถึง “อัตลักษณ์” เฉพาะของศิลปะหริภุญไชยอย่างโดดเด่น แต่ก็มีอิทธิพลของศิลปะสกุลช่างทวารวดี พุกาม และศิลปะขอม ปะปนแทรกอยู่อย่างแยบยลในแทบทุกรายละเอียด

          เราสามารถเปรียบตัวสิกขีที่วัดจามเทวีได้กับลวดลายของเทวดา นางฟ้า ครึ่งองค์ที่ยกมือขนาดใหญ่ขึ้นระดับอกแทรกอยู่ในกลีบใบไม้ กระหนกก้านขดในกรอบฝักเพกา ประดับเสากรอบประตูของปราสาทหินทรายสีชมพูชื่อ “บันทายสรี”  ศิลปะขอมสมัยก่อนเมืองพระนคร ในประเทศกัมพูชา ที่ตั้งใจสร้างขึ้นเพื่ออุทิศถวายให้แก่เจ้านายฝ่ายหญิงในลัทธิไวษณพนิกาย

          ซึ่งชาวเขมรเรียกตัวสิกขีที่ยกมือระดับอกนี้ว่า “มยุรี-มยุรา”

          ที่บันทายสรีนี่ก็แปลก นอกจากจะถูกชาวต่างชาติเรียกศาสนสถานแห่งนี้ว่า Lady Temple เหมือนกับการที่วัดจามเทวีถูกขนานนามโดยนักท่องเที่ยวยุโรปเช่นกันแล้ว ทั้งวัดจามเทวีและปราสาทบันทายสรียังมีอะไรอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่ละม้ายเหมือนกันจนน่าตกใจ

          นอกเหนือไปจาก "สิกขี" ของวัดจามเทวี กับ "มยุรี" ที่บันทายสรีแล้ว ยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่เป็นเครื่องยืนยันถึงสายสัมพันธ์ของวัฒนธรรม "สตรี" ทั้งสองแห่งนี้ เช่น การทำ “คชลักษมี” เป็นต้น

จากรูปกินรีสู่พระนางจามเทวี

          กล่าวโดยสรุป เรื่องราวเกี่ยวกับ “สิกขี” หรือ “พระสิกขี” นี้ จุดเริ่มต้นไม่ได้ทำขึ้นเพื่อเป็นพระพิมพ์หรือพระเครื่องรางแต่อย่างใด หากมีหน้าที่เป็นเสมือนเทวดา-นางฟ้าในปาหิมพานต์ที่ใช้ประดับกรอบซุ้มจระนำสถูปเจดีย์สมัยหริภุญไชย ซึ่งไม่พบในสมัยล้านนาอีกเลย ที่น่าสนใจคือ สิกขีที่วัดจามเทวีไปมีรูปแบบคล้ายคลึงกับรูปเทวดา-นางฟ้า หรือมยุรี-มยุราที่เสาประดับกรอบประตูปราสาทบันทายสรีของขอม

          ครั้นเมื่อตัวสถาปัตยกรรมล่มสลาย ลวดลายปูนปั้นดินเผากระจัดกระจาย ผู้คนก็ไปขุดพบเจอเทวดานางฟ้าเหล่านี้ แล้วอาจอุปโลกน์เอาว่า "นี่คือพระพิมพ์พระนางจามเทวี" 

23

ข่าวอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

เริ่มไปแล้ววันนี้งานแสดงรถยนต์ ETON CHIANGMAI EXPO 2024 ณ เซ็นทรัลเชียงใหม่ เฟสฯ 26 พย.ถึง...

ในงานท่านจะได้พบกับรถยนต์นำเข้าหลายรุูปแบบ ทั้งเครื่องยนต์สันดาป,ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้า100% ที่นำมาเปิดรับจองสำหรับท่านที่สนใจอยากได้รถยนต์ไปใช้งาน เรามีข้อเสนอพิเศษเฉพาะคุณที่สนใจเชิญแวะมาหาเราได้ที่...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 26 พ.ย. 2567, 13:40
  • |
  • 29

ส่งมอบไปอีกคันแล้ว ฟอร์ด EV 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT-DAT64(22B) เป็นรถยนต์ที่น่าใช้

 ส่งมอบรถยนต์น่าใช้ให้กับลูกค้า โดยที่ปรึกษาการขาย ดวงพร กิ่งจำปา  ร่วมแสดงความยินดีกับคุณ เดนนิช สุขสวัสดิ์  มารับ ฟอร์ด EV 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT-DAT64(22B) ไปจากโชว์รูม ขอบคุณที่ ใ...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 23 พ.ย. 2567, 14:59
  • |
  • 60

ส่งมอบไปอีกคันแล้ว ฟอร์ด EV 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT-DAT64(22B) เป็นรถยนต์ที่น่าใช้

 ส่งมอบรถยนต์น่าใช้ให้กับลูกค้า โดยที่ปรึกษาการขาย ดวงพร กิ่งจำปา  ร่วมแสดงความยินดีกับคุณ เดนนิช สุขสวัสดิ์  มารับ ฟอร์ด EV 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT-DAT64(22B) ไปจากโชว์รูม ขอบคุณที่ ใ...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 23 พ.ย. 2567, 14:57
  • |
  • 47

ส่งมอบไปอีกคันแล้ว ฟอร์ด Double Cab Wildtrak 2.0L Turbo HR 6AT เป็นรถยนต์ที่น่าใช้

 ส่งมอบรถยนต์น่าใช้ให้กับลูกค้า โดยที่ปรึกษาการขาย เกลดา อินทะนะ ร่วมแสดงความยินดีกับ คุณ เฉลิมชัย คำแปง มาถอย ฟอร์ด Double Cab Wildtrak 2.0L Turbo HR 6AT ไปจากโชว์รูม ขอบคุณที่ ให้เกียรติมาเป็นค...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 23 พ.ย. 2567, 14:52
  • |
  • 52

ส่งมอบไปอีกคันแล้ว ฟอร์ด EV 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT-DAT64(22B) เป็นรถยนต์ที่น่าใช้

 ส่งมอบรถยนต์น่าใช้ให้กับลูกค้าโดยที่ปรึกษาการขาย หฤทัย สมวงค์แก้ว ร่วมแสดงความยินดีกับ คุณ สุรพล อรทัย มาถอย ฟอร์ด EV 2.0L Turbo Sport 4x2 6AT-DAT64(22B) ไปจากโชว์รูม ขอบคุณที่ ให้เกียรติมาเป็นค...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 23 พ.ย. 2567, 14:43
  • |
  • 59

ส่งมอบไปอีกคันแล้ว ฟอร์ด Double Cab Sport 2.0L Turbo HR 6AT เป็นรถยนต์ที่น่าใช้

 ส่งมอบรถยนต์น่าใช้ให้กับลูกค้าโดยที่ปรึกษาการขาย ภุชงค์ ชมจำปี ร่วมแสดงความยินดีกับ คุณ สุทธิดาภรณ์ สายใจ ที่มาถอย ฟอร์ด Double Cab Sport 2.0L Turbo HR 6AT  ไปจากโชว์รูม ขอบคุณที่ ให้เกียรต...


  • ข่าวยานยนต์
  • |
  • 23 พ.ย. 2567, 14:39
  • |
  • 61
Sytiq Company

ออกแบบพัฒนาโปรแกรมและแอพลิเคชั่น

โดยบริษัทไซทิค ติดต่อ:0819507128

Sytiq Company

ออกแบบและติดตั้ง Home Automation

โดยบริษัทไซทิค ติดต่อ:0819507128