เชียงใหม่ เสียงแตก ขยายเวลาเปิดผับ - ร้านเหล้า ถึงตี 4 มีทั้งสนับสนุน - คัดค้าน จังหวัดเล็งขยายเวลาร้าน สถานบริการที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายแล้วเท่านั้น ซึ่งอยู่ในลิสต์ก่อนอันดับแรก นำร่อง 27 แห่งใน 4 อำเภอ
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นายอรรถวุฒิ พึ่งเนียม ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมด้วย นายสมชาย กะหลู่ จ่าจังหวัดเชียงใหม่ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมกันเปิดเวทีเพื่อชี้แจงแนวทางการดำเนินการ รวมถึงรับฟังความคิดเห็นของภาคส่วนต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการ และภาคประชาชน เกี่ยวกับการขยายเวลาเปิดสถานบริการเฉพาะที่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ จนถึงเวลา 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น ตามโยบายของรัฐบาล เพื่อรวบรวมข้อมูล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะต่างๆ ในเรื่องดังกล่าว ส่งต่อให้กับกระทรวงมหาดไทย เพื่อนำไปประกอบการพิจารณาต่อไป
นายอรรถวุฒิ พึ่งเนียม ปลัดจังหวัดเชียงใหม่ กล่าวว่า ในวันนี้จังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันแสดงความคิดเห็นต่อกรณีที่จะมีการขยายเวลาเปิดสถานบริการ จนถึงเวลา 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เฉพาะในส่วนที่จดทะเบียนเป็นสถานบริการและได้รับอนุญาตถูกต้องตามกฎหมายแล้วเท่านั้น (ไม่รวมที่เป็นร้านอาหารต่างๆ) ซึ่งขณะนี้มีอยู่ 27 แห่ง ใน 4 อำเภอ ประกอบด้วย อำเภอฝาง 1 แห่ง , สันทราย 1 แห่ง , เชียงดาว 1 แห่ง และอำเภอเมือง 24 แห่ง
โดยก่อนหน้านี้แต่ละอำเภอได้ทำการสำรวจและรับฟังความคิดเห็นของชาวบ้านในพื้นที่ของตนเองไปแล้วในเบื้องต้น ส่วนในครั้งนี้เป็นการรับฟังความคิดเห็นในภาพรวมทั้งหมด ซึ่งจากการสำรวจและรับฟังความคิดเห็นแล้ว พบว่า หลายฝ่ายเห็นด้วยกับการขยายเวลาเปิดสถานบริการ จนถึงเวลา 04.00 น. ของวันรุ่งขึ้น เพราะจะช่วยให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจและต่อยอดการสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้ ส่งผลให้ภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวตามไปด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงมีข้อกังวลและอยากให้มีการปรับปรุงแก้ไขในบางเรื่อง เพื่ออุดช่องโหว่ของปัญหาต่างๆ ที่จะตามมา อาทิ การอนุรักษ์เมืองวัฒนธรรม , การควบคุมปัญหาอาชญากรรม , การควบคุมไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่าเกณฑ์เข้าไปใช้บริการ , การป้องกันผลกระทบด้านเสียงต่อชาวบ้านในพื้นที่โดยรอบ , การวางระบบจัดการข้อร้องเรียนที่ดี , การเพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัยให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัย และการติดตั้งกล้อง CCTV , การเตรียมระบบคมนาคมขนส่งรองรับ รวมไปถึงการจัดโซนนิ่งผังเมืองที่เหมาะสมต่อการตั้งสถานบริการ โดยได้เสนอให้ย้ายไปอยู่ในย่านไนท์บาซ่าร์ และ ถนนลอยเคราะห์
ทั้งนี้ หน่วยงานต่างๆ ของจังหวัดเชียงใหม่จะต้องเตรียมความพร้อมและวางมาตรการรับมือในส่วนเหล่านี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้คนเชียงใหม่และคนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อน โดยได้มีการเน้นย้ำกับทั้ง 2 ฝ่าย คือ ภาคราชการ จะต้องมีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด ทั้งการไม่ปล่อยให้เด็กเข้ามาใช้บริการ การคุมเข้มอาวุธหรือยาเสพติด รวมถึงการตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ให้มากขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของภาคผู้ประกอบการ ก็จะต้องมีส่วนช่วยในการป้องกันและบริหารจัดการการให้บริการให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนด
โดยหลังจากเสร็จสิ้นการรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนในครั้งนี้แล้ว ล่าสุดจังหวัดเชียงใหม่ ได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นความเห็นที่เห็นพ้องต้องกันหรือความเห็นต่าง รวมถึงข้อกังวลและข้อเสนอแนะต่างๆ นำเสนอต่อไปยังกระทรวงมหาดไทย เพื่อประมวลผลร่วมกับอีก 3 จังหวัดนำร่อง คือ กรุงเทพฯ ชลบุรี และภูเก็ต เพื่อที่จะนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีต่อไป
ด้านนายวมินทร์ ประกอบสุข ผู้ประกอบการร้านอาหารสถานบันเทิง"ท่าช้างคาเฟ่ เชียงใหม่" มองว่า “การขยายเวลาเปิดเพียงอย่างเดียวยังเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ” เพราะแม้จะเปิด-ปิดสถานบันเทิงได้ถึงตี 4 แต่ก็ยังมีกฎหมายเรื่องของการออกใบอนุญาต ซึ่งเป็นกฎหมายเก่าตั้งแต่ปี 2509 รวมถึงยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต้องแก้ไขไปพร้อมกัน
“
การที่ออกกฎให้ปิดตี 4 ได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องดีในภาคธุรกิจและเศรษฐกิจ แต่อยากเสนอให้แก้เรื่องข้อกฎหมายหลักก่อน คือ การปิดสถานบันเทิงและงดจำหน่ายเครื่องดื่มในวันสำคัญ เหมือนกับประเทศญี่ปุ่นที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเค้าทำแบบนั้นได้เพราะเค้าเข้มงวดข้อกฎหมาย อย่างเมาแล้วขับ ขณะเดียวกันระบบขนส่งมวลชนจะต้องรองรับหลังเที่ยงคืนขึ้นไปด้วย เพราะต่างจังหวัดขนส่งน้อยและถ้าเรียกแท็กซี่ก็แพงหูฉี่” นายวมินทร์ กล่าวและว่า.
การนำร่องพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะเป็นหนึ่งในเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจซึ่งไม่ใช่แค่สถานบันเทิง แต่ยังรวมถึงร้านอาหารอย่าง ร้านข้าวต้ม หรือแม้แต่ตลาดกลางคืนก็ได้รับประโยชน์ด้วย แต่ควรแก้กฎหมายเรื่อง ลุกขึ้นเต้น 3(4) ซึ่งก็ทำให้พนักงานได้รายได้ตามรายชั่วโมงเพิ่มขึ้น รวมถึงกฎหมายอื่นๆ ที่เก่าใช้มานาน เพราะหากไม่แก้ก็จะเป็นช่องโหว่ให้เกิดการทุจริตได้
นอกจากนั้น เจ้าหน้าที่ควรหมั่นตรวจตราเรื่องยาเสพติด อาวุธ รวมถึงขนส่งที่เรียกเก็บนักท่องเที่ยว เพราะแท็กซี่หลายพื้นที่มักจะไม่กดมิเตอร์ แต่ใช้ราคาเหมาแทน ส่วนการเปิดให้แสดงความคิดเห็น ภาครัฐควรคัดกรองผู้ประกอบการเข้าไปนำเสนอความคิดเห็นด้วย เพราะต้องยอมรับว่า คนที่ไม่สนับสนุนส่วนใหญ่เค้าได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ อย่างเช่น ครอบครัวเกิดอุบัติเหตุจากการเมาแล้วขับ ดังนั้นควรชี้แจงให้ชัดเจน
“การเปิดปิดสถานบันเทิงก็เพื่อให้ภาคเศรษฐกิจขยายตัว แต่สุดท้ายก็อยู่ที่ผู้บังคับใช้กฎหมายที่จะทำให้กฎหมายเข้มงวดขึ้นและดูศักดิ์สิทธิ์ในสายตาประชาชน และประชาสัมพันธ์ให้นักเที่ยวนักดื่มหันมาใช้รถขนส่งมวลชนกันให้มากขึ้น ควรนำร่องจังหวัดที่นักท่องเที่ยวสูงๆ ก่อน และค่อยขยายไปยังจังหวัดต่างๆ และร้านค้าควรรองรับรถแท็กซี่เพื่อให้เข้ารับลูกค้าภายในร้านของคุณได้ด้วย ซึ่งจะลดอัตราการเมาแล้วขับได้” นายวมินทร์ ระบุ